รู้แล้วบอกต่อ….. นำสินค้ามาใช้ในกิจการของตนเอง ต้องเสียภาษีด้วยรึ???
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนส่วนนิติบุคคลที่ประกอบการกิจการขายสินค้าซึ่งต้องมีสินค้าอยู่ในสต็อกเก็บไว้เพื่อรอขายเสมอแต่ในหลายกรณีบริษัทฯ ได้นำสินค้าที่มีไว้ขายมาเบิกใช้ในกิจการ จึงมีประเด็นมาว่าถ้าสินค้าที่มีไว้เพื่อขายนั้นเมื่อนำมาใช้เสียเองแล้ว จะถือเป็นรายจ่ายทางภาษีได้อย่างไร และจะต้องเสียภาษีใช่หรือไม่ การตอบคำถามดังกล่าวจึงต้องแยกพิจารณาตามข้อกฎหมายแต่ละกรณี ซึ่งจะแยกตามประเภทภาษีเพื่อความเข้าใจได้ง่ายๆดังนี้
1 ภาษีเงินได้นิติบุคคล
การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นบริษัทฯ ต้องนำรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการมาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากรดังนั้น รายได้ที่ต้องนำมารวมคำนวณกำไรสุทธิจึงเป็นรายได้ที่ได้จากกิจการ เช่น การขายสินค้า การให้เช่าทรัพย์สิน การรับจ้างทำของ การให้บริการ เป็นต้น สำหรับกรณีที่บริษัทฯ ไม่ได้มีรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการแต่เป็นการนำสินค้า ทรัพย์สิน หรือสินค้าไปใช้เองไม่ว่าจะเป็นการโอนสินค้าหรือทรัพย์สินของบริษัทฯ ไปใช้ในกิจการของบริษัทฯ เอง เช่น นำสินค้าจากสำนักงานใหญ่ไปเก็บไว้ที่สาขาเพื่อรอขาย หรือการนำสินค้าไปใช้ในกิจการของบริษัทเองโดยตรง เช่น บริษัทขายคอมพิวเตอร์ และได้นำคอมพิวเตอร์ไปใช้ในกิจการของตนเองโดยโอนจากสินค้าไปเป็นทรัพย์สินของบริษัทฯ กรณีดังกล่าวบริษัทฯ ก็จะไม่มีรายได้จากการนำสินค้าไปใช้ในกิจการของตนเองที่จะต้องนำมาเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
จึงสรุปได้ว่า สำหรับการโอนทรัพย์สินหรือสินค้าของบริษัทไปใช้ในกิจการของบริษัทเอง ย่อมไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่บริษัทจะต้องนำมารวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแต่อย่างใด
2 ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีมูลค่าเพิ่มจะจัดเก็บจากการขายสินค้าในราชอาณาจักร การให้บริการในราชอาณาจักร และการนำเข้าสินค้า ตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น การนำสินค้าหรือบริการไปใช้ในกิจการของตนจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่จึงต้องพิจารณาว่า เป็นการขายสินค้าหรือบริการหรือไม่ ถ้าไม่เป็นการขายสินค้าหรือบริการก็ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ถ้าเป็นการขายสินค้าหรือบริการก็ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งตามประมวลรัษฎากรที่กำหนดว่า กรณีการนำสินค้าหรือบริการไปใช้ในกิจการของตนเองที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม มีดังนี้
- ตามมาตรา 77/1 (8) (ง) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2543 กำหนดหลักเกณฑ์สรุปได้ว่า การนำสินค้าที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งถ้าขายไปให้บุคคลอื่นก็ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ได้นำสินค้าดังกล่าวไปใช้ในราชอาณาจักรของตนเองซึ่งเป็นกิจการที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม การนำสินค้าไปใช้ในกิจการดังกล่าวถือเป็นการ “ขาย” ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
ตัวอย่างที่1 บริษัท ดี จำกัด ประกอบกิจการขายน้ำแข็งซึ่งเป็นกิจการขายสินค้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และประกอบกิจการขายปลาสดในประเทศ ซึ่งเป็นกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (1) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทดี ได้นำน้ำแข็งที่มีไว้เพื่อขายดังกล่าวไปแช่ปลาของตนเอง จึงเป็นการนำเอาสินค้าที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มไปใช้ในกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งถือเป็นการ “ขาย” สินค้า (คือน้ำแข็ง) บริษัทฯ จึงต้องนำมูลค่าของน้ำแข็งดังกล่าวมาเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนที่นำน้ำแข็งไปใช้แช่ปลาด้วย
ทั้งนี้ ในกรณีที่นำสินค้าไปใช้ในกิจการของตนซึ่งเป็นกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีนี้จะไม่ถือว่าเป็นการขายสินค้าจึงไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เว้นแต่ สินค้าที่นำไปขายนั้นเป็นสินค้าประเภทรถยนต์นั่ง (เช่นรถเก๋ง) หรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน (เช่น รถตู้ที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง) ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต และสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวกับรถยนต์ดังกล่าวจึงจะถือเป็นการ “ขาย” ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตัวอย่างที่2 บริษัท ต่อ จำกัด ประกอบกิจการขายพรมซึ่งเป็นกิจการขายสินค้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม บริษัทต่อ ได้นำพรมที่เป็นสินค้ามีไว้เพื่อขายโอนไปเป็นสินทรัพย์เพื่อมีไว้ให้เช่า การนำพรมที่มีไว้เพื่อขาย (ตัดสต๊อค) นำไปใช้เป็นทรัพย์สินเพื่อมีไว้ให้เช่าเป็นการนำสินทรัพย์ที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มไปใช้ในกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยเช่นกัน จึงไม่ถือว่าเป็นการ “ขาย” และไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตัวอย่างที่3 บริษัท เนื่อง จำกัด ประกอบกิจการขายรถเก๋ง ได้นำรถเก๋งที่มีไว้เพื่อขายนำไปใช้เป็นทรัพย์สินเพื่อนำออกไปให้เช่า ซึ่งประกอบกิจการขายรถเก๋งและกิจการให้เช่ารถเก๋ง ต่างก็เป็นกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่เนื่องจากเป็นการนำสินค้าที่เป็นรถเก๋งไปใช้ในกิจการของตนเอง (ให้เช่า) ซึ่งถือเป็นการ “ขาย” จึงต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับมูลค่าของรถเก๋งที่นำไปใช้ในกิจการของตนเองนั้นด้วย
(2)ตามมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2534 กำหนดหลักเกณฑ์ได้สรุปว่า การนำบริการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งถ้าให้เป็นบริการแก่บุคคลอื่นต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ได้นำบริการดังกล่าวไปใช้ในกิจการของตนเองซึ่งเป็นกิจการที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม การนำบริการไปใช้ในกิจการดังกล่าวถือเป็น “บริการ” จึงต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
ตัวอย่างที่ 1 บริษัท ดีต่อเนื่อง จำกัด ประกอบกิจการรับจ้างซ่อมรถยนต์ซึ่งเป็นกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และประกอบกิจการรับขนส่งในประเทศซึ่งเป็นการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม รถยนต์บรรทุกที่ใช้ในกิจการขนส่งเกิดอุบัติเหตุต้องซ่อม บริษัทดีต่อเนื่อง จึงให้แผนกซ่อมรถยนต์ของบริษัท ที่รับจ้างซ่อมเป็นการทั่วไป ทำการซ่อมรถบรรทุกนั้น การให้บริการซ่อมรถยนต์ของตนซึ่งใช้ในกิจการที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวจึงถือเป็น “บริการ” ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
ทั้งนี้ ในกรณีที่นำบริการไปใช้ในกิจการของตนซึ่งเป็นกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีนี้จะไม่ถือเป็น “บริการ” จึงไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เว้นแต่บริการที่นำไปใช้ในกิจการของตนซึ่งเป็นกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น เป็นกิจการที่นำไปใช้เพื่อการรับรอง หรือเพื่อการอันมีลักษณะทำนองเดียวกัน หรือเป็นบริการที่นำไปใช้กับรถยนต์นั่ง (เช่นรถเก๋ง) และรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
ขอขอบคุณ
บทความอ้างอิงจากเอกสาร สรรพากรสาสน์
ทำบัญชี ตรวจสอบบัญชีกับเรา หากคุณมีข้อสงสัย ปรึกษาฟรี เพิ่มเติมได้ที่ 085-8012332 (คุณวิ) ทาง สำนักงานบัญชี ปิติภูมิ การบัญชี ยินดีให้บริการค่ะ รับทำบัญชี ยื่นภาษี ครบวงจร