เรียกเก็บ VAT ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ด้วยหรือไม่ ???

เรียกเก็บ VAT ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ด้วยหรือไม่ ???

การจ่ายเงินได้พึงประเมินให้ผู้รับเงิน ผู้จ่ายจะต้องหัก ภาษี ณ ที่จ่าย จากเงินได้ที่จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด ตามมาตรา 50 มาตรา 69 ทวิ มาตรา 69 ตรี และมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากรประกอบกับคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากรมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ.2528 กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ขายสินค้าหรือให้บริการ กฎหมายได้กำหนดให้ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร โดยผู้ประกอบการจดทะเบียนฯ ที่ขายสินค้าหรือให้บริการมีสิทธิเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการเพิ่มขึ้นจากค่าสินค้าหรือค่าบริการที่เรียกเก็บตามมาตรา 77/1 (17) และมาตรา 82/4 แห่งประมวลรัษฎากร ภาษีมูลค่าเพิ่มฝ่ายผู้ประกอบการจดทะเบียนฯ ที่ขายสินค้าหรือให้บริการเรียกเก็บ เรียกว่า “ภาษีขาย” ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนฯ ถูกเรียกเก็บ เรียกว่า “ภาษีซื้อ”

ตัวอย่าง บริษัท รักดี จำกัด ได้ให้บริการแก่บริษัท A จำกัด โดยเรียกเก็บค่าบริการจากบริษัท A จำนวน 10,000 บาท โดยมีภาษีมูลค่าเพิ่ม 700 บาท บริษัท A ต้องจ่ายเงินให้บริษัท รักดี รวมทั้งสิ้น 10,700 บาท

ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภาษีขาย) ของผู้ประกอบการจดทะเบียนฯ ที่ขายสินค้าหรือให้บริการก็คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เรียกเก็บถือเป็นรายได้ของผู้ประกอบการฯ ผู้ขายฯ หรือไม่ เพราะหากเป็นรายได้แล้วก็จะต้องนำมารวมคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (กรณีผู้ประกอบการฯ นั้นเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล) และจะมีผลต่อการหักภาษีเงินได้ ณ.ที่จ่ายอีกด้วย

ตัวอย่าง บริษัท ความดี จำกัด จ่ายค่าบริการพื้นที่ให้แก่บริษัท งามยิ่ง จำกัด จำนวน 20,000 บาท โดยมีภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 7 จำนวน 1,400 บาท ซึ่งทำให้บริษัท งามยิ่ง ได้รับเงินค่าบริการพื้นที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 21,400 บาท จึงมีปัญหาว่ารายได้ที่บริษัท งามยิ่งได้รับ ต้องนำมารวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลคือ 20,000 บาท หรือ 21,400 บาท

กรณีดังกล่าว ตามบทบัญญัติของมาตรา 65 ทวิ (14) แห่งประมวลรัษฎากร ได้บัญญัติว่า “ภาษีขาย ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้รับหรือพึงได้รับ และภาษีมูลค่าเพิ่มที่มิใช่ภาษีตามมาตรา 82/16 ซึ่งได้รับคืนเนื่องจากการขอคืนตามหมวด 4 ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นรายได้” ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าวก็หมายความว่าบริษัทฯ ที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนฯ ที่ขายสินค้าหรือให้บริการ เมื่อเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภาษีขาย) ดังกล่าวย่อมไม่ถือเป็นรายได้ของบริษัทฯ จึงไม่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล

ตัวอย่าง บริษัท แจ้งเกิด จำกัด ประกอบธุรกิจขายสินค้าและให้บริการร้านสะดวกซื้อ เมื่อบริษัทฯ ขายสินค้าหรือให้บริการแก่ลูกค้าภายในร้านฯ และได้เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้าเพื่อนำส่งกรมสรรพากร บริษัทฯ ไม่ต้องนำภาษีขายที่ได้รับหรือพึงได้รับมารวมคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 ทวิ (14) แห่งประมวลรัษฎากร และไม่ต้องนำภาษีขายดังกล่าวมารวมเป็นมูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79 วรรคสาม (3) แห่งประมวลรัษฎากร (หนังสือกรมสรรพากรที่ กค 0702/1942 ลงวันที่ 4 มีนาคม 2555)

ดังนั้น กรณีที่ผู้จ่ายเงินให้แก่ผู้รับเงินซึ่งเป็นการจ่ายเงินได้ที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามกฎหมายสำหรับการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทฯ ที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนฯ ผู้ขายสินค้าหรือให้บริการเรียกเก็บ เมื่อภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวไม่ใช่รายได้ของบริษัทฯ แล้วผู้จ่ายเงินภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวจะหักภาษี ณ ที่จ่าย จากเงินภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวไม่ได้เช่นกันคงมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย เฉพาะเงินค่าสินค้าหรือบริการ ตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น

ตัวอย่าง บริษัท สบายใจ จำกัด ให้บริการซ่อมเครื่องจักรให้แก่บริษัท ป จำกัด โดยเรียกเก็บค่าซ่อมจำนวน 100,000 บาทและเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากบริษัท ป. อีกจำนวน 7,000 บาท เมื่อบริษัท ป.จ่ายค่าซ่อมรวมภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัท สบายใจ ก็ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0 จากค่าซ่ออม (100,000 บาท) ตามข้อ 8 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528ฯ คิดเป็นภาษีหัก ณ ที่จ่าย จำนวน 3,000 บาท

ตัวอย่าง บริษัท พ้องเพื่อน จำกัด ให้บริการก่อสร้างอาคารแก่บริษัท น้ำใจ จำกัด โดยคู่สัญญาตกลงกันว่าค่าก่อสร้างตามสัญญารวมภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นมูลค่าเพิ่ม 5,350,000 บาท และค่างวดแต่ละงวดให้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย เมื่อบริษัท น้ำใจ จ่ายค่างวดจำนวน 1,070,000 บาท ต้องคำนวณหักภาษี ณ ที่จ่าย จากเงินค่าจ้างจำนวน 1,000,000 บาทเนื่องจากค่างวดดังกล่าวได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม จำนวน 70,000 บาท (1,070,000 * 7/107) ไว้แล้ว ดังนั้น บริษัท น้ำใจ จึงต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย จากเงินค่าจ้างบริษัท พ้องเพื่อน ในอัตราร้อยละ 3.0 ตามข้อ 8 ของคำสั่งฯที่ ท.ป.4/2528ฯ เป็นจำนวน 30,000 บาท

ข้อสังเกต ตามตัวอย่างดังกล่าว ถ้าบริษัท น้ำใจ หักภาษี ณ ที่จ่าย จากเงินค่างวดจำนวน 1,070,000 บาท ก็จะเป็นการหักภาษี ณ ที่จ่ายเกินไป ซึ่งบริษัท พ.ซึ่งถูกหัก ณ ที่จ่าย ไว้เกินไปก็มีสิทธินำภาษีที่ถูกหักไว้เกินไปนั้นไปเครดิตหักออกจากภาษีที่ต้องเสียในการยื่นแสดงแบบรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50) ได้

ขอขอบคุณ

บทความอ้างอิงจากเอกสาร สรรพากรสาสน์

เพื่อให้คุณทำการขายได้อย่างสบาย ไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องภาษี สำนักงานบัญชี ปิติภูมิ ยินดีให้บริการรับทำบัญชี และ ยื่นแบบภาษีให้คุณ แบบสบายใจหายห่วงกันไปเลยค่า

Comments

comments